ภาษาอังกฤษสำคัญอย่างไรต่อการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน

บ่อยครั้งที่พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ถามผมว่า "ทำไม (พี่, น้อง) เอ้ พูดภาษาอังกฤษได้ เคยเรียน (พิเศษ) มารึปล่าว" ทุกครั้งผมก็ได้แต่ตอบด้วยประโยคบอกเล่ากึ่งให้กำลังใจว่า "นักเรียนไทยพูดภาษาอังกฤษได้กันหมดทุกคนแหละ" ด้วยความรู้ที่เล่าเรียนกันมาตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย อย่างน้อยก็จนจบม. 6 หรือม. 3 ผมยืนยันว่าเท่าที่เราเรียนมา แค่นี้เพียงพอสำหรับการสื่อสารแล้วจริงๆ เพราะภาษาอังกฤษที่ผมใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติเป็นประจำ ก็เป็นระดับที่เรียนจากชั้น ป. 5 จนกระทั่งถึงชั้น ม. 3 ทั้งสิ้น

เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นเคยถามผมตอนไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นว่า "เอ้จัง (ชื่อเรียกผมที่นั่น) คุณเรียนพิเศษภาษาอังกฤษก่อนมาที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า" ผมตอบว่า "เปล่า ผมพูดภาษาอังกฤษประโยคแรกกับชาวต่างชาติจริงๆ ก็ที่สนามบินนาริตะตอนที่คนของคุณมารับผมหน่ะแหละ" พวกเค้าทำหน้าไม่เชื่อกัน แต่จริงๆ มันคือการเอาตัวรอด ภาษาญี่ปุ่นไม่กระดิก ก็เหลือแค่ภาษาอังกฤษนี่แหละที่ยังพอจะพึ่งได้ ว่าแล้วก็ทบทวนประโยค เพื่อซ้อมการออกเสียงยาวๆ ซักประโยคนึงก่อน This is a Book อ่ะ โอเช มั่นใจขึ้นเยอะ แต่ผมเองก็ไม่อยากเป็นเทพ ก็เลยอธิบายด้วยประโยคในย่อหน้าข้างต้นนั่นแหละ แต่ดูๆ เค้าก็ไม่เชื่อกัน ช่างเถอะ

อ้อ ... ถ้าจะมีนอกเหนือจากหลักสูตรในโรงเรียนก็ Follow Me ทั้ง 4 เล่มนี้แหละ แต่จะบอกให้ จนป่านนี้ผมยังอ่านไม่ถึงครึ่งเล่มเลย ตั้งแต่ซื้อมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือการเริ่มต้นทำอะไรก็ตาม มันก็ต้องมีการลองผิดลองถูกเหมือนๆ กัน พูดออกไปไม่ต้องกลัวผิด แค่บอกสิ่งที่ต้องการบอกออกไป ไม่ต้องไปพะวงเรื่อง Grammar หรือหลักภาษาอะไรมากนัก ผมจะกระซิบบอกอะไรให้ ฝรั่งเองยังไม่รู้เลยว่า Grammar ที่เราท่องๆ กันมาตั้งแต่อนุบาล ประถมหน่ะมันคืออะไร เพราะฉะนั้นอย่าไปพะวงมากนัก หากมีโอกาสได้ร่วมวงสนทนากับชาวต่างชาติ แล้วมัวแต่คิดจะแต่งประโยคในใจให้สละสลวยตามหลัก Grammar เป๊ะ กว่าจะนึกหลักไวยากรณ์ กิริยาช่องที่ 1 - 2 - 3 ครบ เค้าก็คงเดินหนีไปก่อน กะจะเท่ห์ไง Grammar เป๊ะ เออ ยืนบื้อๆ นี่ก็เท่ห์ดีหว่ะ

ดูโดยผ่านๆ ตา จากในหนังสือสอนภาษาอังกฤษที่มีขายกันทั่วไป หรือที่พูดๆ ฟังๆ อ่านๆ เขียนๆ กัน คำหรือประโยคที่อยู่ในบทสนทนามีแค่หลักพัน ในขณะที่ Dictionary มีคำอยู่เป็นหลักหมื่น ซึ่งเราก็จำไม่ได้ทั้งหมด เพราะแทบไม่ได้ใช้เลย นั่นหมายความว่าในการสนทนาหรือสื่อสารทั่วไปจริงๆ นั้น มีคำที่ใช้จริงๆ แค่ไม่กี่คำ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะจำไม่ได้ หัวขี้เลื่อย เกรดเฉลี่ยผจญภัยใต้ Mean มาตลอดชีวิตอย่างผมยังทำได้เลย ทำไมคนไทยทั้งประเทศจะทำไม่ได้

ปัญหาหนึ่งที่พวกเรานักเรียนต่างชาติ ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษพบเจอกันอีกก็คือ นักเรียนต่างชาติที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาด้วยกันนี่แหละ ที่ชอบใช้คำที่ผมเรียกของผมเองว่าวิลิศมาหรา หรือคำที่มีความหมายในตัวเอง หรือ คำจำกัดความ หรือ Definition Words เช่น คำว่า holistic แปลว่า แบบองค์รวม ไอ้พวกเราก็ใช้ภาษาอังกฤษแบบไม่ค่อยเต็มใจกันอยู่แล้ว ยิ่งงงหนักเลย จะถามก็เสียฟอร์ม เดี๋ยวเค้าจะว่าโง่ (จริง) กลัวคนพูดจะเสียเซลฟ์ กลัว ... ฯลฯ ก็ใช้คำแบบคำขยายความ คุ้นตา ท่องกันมาตั้งแต่เด็กๆ ที่ผมเรียกของผมเองว่า Description Words หน่อยสิ อย่างเช่น combine, integrate, plus, aggregate, mix จริงๆ มีหลายคำกว่านี้ ที่นักเรียนต่างชาติที่ได้สัมผัสภาษาอังกฤษมามากกว่านักเรียนต่างอำเภออย่างเราเค้าใช้กัน กรณีนี้เจอมาเองกับตัว เลยพูดได้ เพราะเจอมาหลายครั้งแล้วด้วย ฮึ่ม

อ่านกันมาถึงตรงนี้ทุกคนก็คงจะมีคำถามในใจว่า "นี่ (มึง) กำลังจะบอกอะไร (วะ)" ทั้งหมดทั้งปวงเพียงเพื่อจะบอกว่า ภาษาอังกฤษหน่ะมันไม่ได้ยากหรอก ทุกคนเอามาใช้กันได้อย่างคล่องแคล่วแหละ อย่าได้กังวล ขอแค่ได้ฝึกฝน ใช้บ่อยๆ ผิดบ่อยๆ ฝรั่งพูดเองยังผิดเลย เพราะเค้าไม่ได้ยึด Grammar คนที่ท่อง Grammar มาแม่นๆ คงจะตกใจที่ได้ยินฝรั่งพูดผิด Grammar "ว๊าย ยูพูดผิดนะ ต้องใช้ไวยากรณ์แบบนี้สิ หม่ะ ไอจะสอนยูเอง" จะไปสอนฝรั่งเหรอว่าเค้าใช้ผิด คงได้สอนกันตั้งแต่ This is a book แหละว่าเป็น Present Tense เพราะฉะนั้น พูดไปเถอะ ผิดก็ไม่มีใครว่า ไม่ใช่ภาษาของเราซะหน่อย ประโยชน์ที่ได้คือลดข้อจำกัดในการทำงานและความก้าวหน้า เผื่อเจ้านายจะส่งไปประจำที่ต่างประเทศ หรือถ้าเป็นบริษัทของเราเอง ก็เป็นการเพิ่มช่องทางการขายกว้างขึ้นไปอีก นอกจากตลาดในประเทศที่เริ่มจะตัน เพราะการแข่งขันรุนแรงขึ้นแล้ว เป็นเล่นไป เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 ปี AEC ก็จะเปิดแล้ว ถึงตอนนั้นบริษัททั้งสัญชาติไทยและต่างด้าวที่เข้ามาตั้งฐานทัพ เอ๊ยสำนักงานสาขาในประเทศไทยเพื่อทำมาค้าขายกับประเทศในเอเชียต่างก็ต้องการพนักงานที่อย่างน้อยก็พูดภาษาอังกฤษได้มาทำงานด้วย พนักงานคนไทยหน่ะเก่งมากๆ อยู่แล้วในความรู้เชิงเทคนิค และความสามารถในการทำงาน แต่จะน่าเสียดายไม๊หล่ะที่เราจะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นไม่ได้ เพียงเพราะพูดภาษาอังกฤษกับนายฝรั่งหรือลูกค้าต่างชาติไม่ได้ แล้วปล่อยให้คนชาติอื่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่ามาเป็นเจ้านายเรา ทั้งๆ ที่เราทุ่มเททำงานเพื่อบริษัทมาทั้งชีวิต

หรือจะบอกว่าไม่สน ลาออก กลับบ้านไปเปิดบริษัทแข่งกับเจ้านายเก่าก็ได้ หน๋อย บังอาจเอาคนชาติอื่นมานั่งเก้าอี้ที่ชั้นหมายตามาตั้งนาน โอ้วววว เหตุการณ์หลังจากนี้ไม่อยากจะคิด ว่ามันจะสยองแค่ไหน ลาออกจากงานมาเปิดบริษัทของตัวเองเพียงเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถ้าตลาดในประเทศมันไม่ตัน ก็คงไม่มีใครอยากออกไปต่างประเทศกันหรอกพ่อคุณ


Comments

Popular posts from this blog

Enjoy Your Work, Enjoy Your Life

การตลาดวิถีพุทธ

6Qs สร้างสรรค์ผลงาน สร้างความเบิกบานให้ชีวิต