Posts

Showing posts from October, 2018

สวดมนต์ดลจิตให้ชีวิตราบรื่น

สวดมนต์เพื่อฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ผมเริ่มสวดมนต์ตั้งแต่วันเกิดแม่เมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่แม่ขอร้องให้สวดมนต์ตั้งแต่หลายปีก่อน อีกท่านหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือคุณธนกฤต ผู้เป็นทั้งเพื่อนและอดีตเจ้านาย ท่านนี้ก็ขอร้องให้ผมสวดมนต์มาพร้อมๆ กับแม่ผม ขอบคุณมากเพื่อน ผมได้พบมหัศจรรย์จริงๆ แล้วหล่ะ ได้ระลึกถึงพระคุณของพ่อกับแม่ทุกวัน เพราะต้องอุทิศส่วนกุศลให้ทุกครั้ง มีความสุขมากจริงๆ การสวดมนต์เป็นการฝึกจิตที่เหมาะสำหรับคนในปัจจุบัน ไม่ได้ใช้เวลามาก 5 นาที 10 นาที 30 นาที 2 ชั่วโมง แค่ไหนก็ได้เท่าที่เรามีเวลา ที่ไหนก็ได้ที่เราสะดวก เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ เพื่อรวบรวมสมาธิ ฝึกฝนจิตใจให้นิ่ง แล้วก็ลงมือสวด เริ่มด้วยบทที่ง่ายๆ ท่องจำไม่ได้ก็อ่านจากในหนังสือ มีเป็นร้อยๆ บทที่มีพุทธคุณสูงส่ง มนุษย์เราส่วนใหญ่มีจิตสัมผัส แต่ยังไม่เข้มแข็ง การรวบรวมสมาธิด้วยการสวดมนต์เป็นการเจริญภาวนา พัฒนาจิตสัมผัสให้เขัมแข็งขึ้นได้ การบำเพ็ญภาวนาทำให้เราประสบพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ เหมือนที่ผมได้สัมผัสมาแล้วกับตัวเอง นั่นคือ กำลังใจที่เข้มแข็ง เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่ผมต้องการในวันนี้ หนังสือส

อาหารอายุวัฒนะ

อาหารคือสารตั้งต้นของการสร้างสุขภาพ สุขภาพจะดีเมื่อเรารับประทานอาหาร ตามใจร่างกาย สุขภาพจะแย่เมื่อเรารับประทานอาหาร ตามใจปาก ต้นเหตุของโรคภัยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ล้วนมาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป อาหารจานด่วน อาหารตามร้านอร่อยที่แนะนำกัน อาหารที่ปรุงแต่งรสชาติ อาหารหมักดอง อาหารตะวันตก อาหารแช่แข็ง อาหารกล่อง คนไทยในสมัยโบราณ มีสุขภาพที่ดี อายุยืนยาว เพราะรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติ พืชผักสดๆ ที่เก็บมาจากสวนครัวหลังบ้าน อาหารที่เก็บมาจากป่า อาหารที่อยู่ในแหล่งน้ำ อาหารที่ปลูกขึ้นเอง แล้วจึงนำมาลวกหรือต้มด้วยน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ด้วยวิถีชีวิตที่รีบเร่ง การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ แข่งขันกับทุกสิ่ง รวมทั้งกับตัวเอง ล้วนนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ เวชภัณฑ์ที่ผ่านการสังเคราะห์ จะส่งผลให้เกิดภัยอันตรายต่อร่างกาย ในระยะยาว หันมาทานอาหารจากธรรมชาติ และที่ปลูกขึ้นเอง ใช้เวชภัณฑ์จากธรรมชาติ ที่เรียกว่า สมุนไพร กันเถอะครับ จะได้มีความสุขได้อย่างยั่งยืนและยาวนาน หน้าแรก             สารบัญเนื้อหา

คนทุกคนล้วนมีนิยามของความมั่งคั่งเฉพาะตน

ในหนังสือของคุณอมิตา อริยอัชฌา "ขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง" มีตอนหนึ่งที่พูดถึงชายคนหนึ่งที่สำเร็จการศึกษามาพร้อมกับเพื่อนๆ เรียนจบออกมาก็สมัครงาน ทำงานมีรายได้เช่นกับคนทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันคือ ชายคนนี้นำเงินส่วนหนึ่งจากรายได้มาเก็บออมและลงทุนในหุ้น มิได้นำไปซื้อทรัพย์สิน ( Property) เช่น รถยนต์ บ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน แท็บเล็ทเหมือนกับเพื่อนๆ และคนทำงานในวัยเดียวกัน มีเพียงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ติดตั้ง Wi - Fi ที่ใช้เพื่อการซื้อขายหุ้นอยู่ที่ห้องพัก หุ้นตัวที่ซื้อ ก็เน้นหุ้นปันผล จึงไม่จำเป็นต้องซื้อขายบ่อยๆ เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ชายคนนี้ได้ลาออกจากงานเพื่อออกมาบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างเต็มตัว โดยยังคงพักในห้องเช่าห้องเดิม เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถเมล์ รถไฟฟ้า กลับบ้านต่างจังหวัดด้วยรถทัวร์เช่นเดิม อยู่บ้านกับพ่อแม่ได้เป็นเดือนๆ เที่ยวต่างจังหวัดในวันธรรมดาได้หลายๆ วัน เพราะไม่ต้องเข้าออฟฟิศอีกต่อไป ถ้าดูจากฐานะทางการเงิน ชายคนนี้ถือว่าไม่ได้ "ร่ำรวย" อะไร เพราะยังไม่มีเงินในปริมาณที่มากเพียงพอจนไม่ต้องหาเพิ่ม แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ "มั่งคั่ง"

จะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่

บ่ายวันหนึ่ง ท่ามกลางแดดระอุ ภายในห้องทำงานหรูหรา     แอร์เย็นฉ่ำ เพื่อนรักนักบริหาร เจ้าของกิจการสถานศึกษามูลค่าหลายร้อยล้านบาท ถามผมขึ้นมาในความเงียบต่อหน้าเครื่องคิดเลขและแก้วกาแฟลาเต้เย็นฉ่ำชื่นใจ " เอ้ มึงจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ และต้องมีเงินเท่าไหร่ เพื่อจะให้มีพอใช้ไปตลอดชีวิต" ( ขออนุญาตใช้คำราชาศัพท์ไทยโบราณประกอบคำบรรยายเพื่อความสมจริง) ในความเงียบของแอร์ราคาแพง ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นรัวของตัวเอง บอกตรงๆ ว่าผมอึ้งแดกกับคำถามตรงๆ แต่แฝงไปด้วยปรัชญาชีวิตของเพื่อน ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ "แม่งเท่าไหร่วะ" ผมไม่เห็นหน้าตัวเองในตอนนั้น แต่เชื่อว่า คงไม่ต่างอะไรจากหมางงหรือจำไมกับอะไรบางอย่างสักเท่าไหร่ ( ใครเกิดทันดูและรู้จักเจ้าหนูจำไมในการ์ตูนอิ๊กคิวซัง เด็กบ้านี่มันสงสัยทุกเรื่อง) เพื่อนรักเห็นผมนั่งบื้อเป็นหมาเหงา เลยกระซิบเบาๆ ข้ามโต๊ะทำงานสุดหรู " เอาที่มึงใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือนมาก็ได้" แล้วเปรยขึ้นมาลอยๆ "ไอ้ฟาย" ผมเข้าใจของผมเองว่า เพื่อนรักของผมน่าจะพูดว่า " I fine" เพื่อให้ผมผ่อนคลาย แล้วบอกข้อมูลที